ซินเดอเรลล่า



ซินเดอเรลล่า (อังกฤษ: Cinderella; ฝรั่งเศส: Cendrillon) เป็นเทพนิยายปรัมปราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั่วทั้งโลก มีการดัดแปลงเป็นรูปแบบต่างๆ มากมายกว่าพันครั้ง[1] เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งที่อยู่ในอุปถัมภ์ของแม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาส ต่อภายหลังจึงได้พบรักกับเจ้าเมืองหรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ตำนานซินเดอเรลล่ามีปรากฏในเทพนิยายหรือนิทานพื้นบ้านประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกโดยมีชื่อของตัวเอกแตกต่างกันออกไป ทว่าฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ลส แปร์โรลต์ ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งอิงมาจากวรรณกรรมของ จิอัมบัตติสตา เบซิล เรื่อง La Gatta Cenerentola ในปี ค.ศ. 1634 ในเรื่องนี้ตัวเอกมีชื่อว่า เอลลา (Ella) แต่แม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายของเธอพากันเรียกเธอว่า ซินเดอเรลล่า (Cinderella) อันหมายถึง "เอลลาผู้มอมแมม" ซึ่งกลายเป็นชื่อเรียกเทพนิยายในโครงเรื่องนี้โดยทั่วไป



ซินเดอเรลล่าเดิมมีชื่อว่า เอลล่า (Ella) เป็นบุตรสาวของเศรษฐีผู้มั่งมี มารดาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเล็ก เป็นเหตุให้บิดาของเอลล่าจำใจแต่งงานใหม่กับมาดามผู้หนึ่งซึ่งเป็นหม้ายและมีลูกสาวติดมาสองคนเพราะอยากให้เอลล่ามีแม่ ไม่นานนักหลังจากนั้น เศรษฐีผู้เป็นบิดาก็เสียชีวิต ทำให้ธาตุแท้ของแม่เลี้ยงปรากฏขึ้น นางกับลูกสาวใช้งานเอลล่าราวกับเป็นสาวใช้ และใช้จ่ายทรัพย์ที่เป็นของเอลล่าอย่างฟุ่มเฟือย ที่ร้ายกว่านั้น ทั้งสามยังเปลี่ยนชื่อของเอลล่า เป็น ซินเดอเรลล่า ที่แปลว่า สาวน้อยในเถ้าถ่าน เพราะพวกนางใช้งานเอลล่าจนเสื้อผ้าขาดปุปะมอมแมมไปทั้งตัวนั่นเอง

ซินเดอเรลล่ายอมทนลำบากทำงานเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง มีจดหมายเรียนเชิญหญิงสาวทั่วอาณาจักรให้มาที่พระราชวังเพื่อร่วมงานเต้นรำ แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ พระราชา ต้องการหาคู่ครองให้กับเจ้าชายซึ่งเป็นพระโอรสองค์เดียว จึงใช้งานเต้นรำบังหน้า เมื่อรู้ข่าว ลูกสาวทั้งสองต่างพากันดีใจที่บางทีตนอาจมีโอกาสได้เต้นรำและได้แต่งงานกับเจ้าชายก็เป็นไปได้ เช่นกันกับซินเดอเรลล่า เพราะเธอใฝ่ฝันมาตลอดเวลาว่าจะได้เต้นรำในฟลอร์ที่งดงามและเป็นอิสระจากงานบ้านอันล้นมือเหล่านี้ แต่แน่นอน เมื่อเด็กสาวขอไป แม่เลี้ยงใจร้ายจึงกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจนซินเดอเรลล่าไม่มีชุดใส่ไปงานเต้นรำ



ซินเดอเรลล่าเสียใจมาก จึงหนีไปร้องไห้อยู่คนเดียว ทันใดนั้นนางฟ้าแม่ทูนหัวของซินเดอเรลล่าก็ปรากฏตัวขึ้นและบันดาลชุดที่สวยงามที่สุดให้ซินเดอเรลลา พร้อมกับบอกให้เด็กสาวไปงานเต้นรำ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องกลับมาก่อนเที่ยงคืน ไม่เช่นนั้นเวทมนตร์จะเสื่อม

ซินเดอเรลล่าได้ทำตามความฝัน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ คู่เต้นรำที่เธอก็ไม่ทราบว่าเป็นใครนั้นคือเจ้าชายนั่นเอง ทั้งสองตกหลุมรักกันทั้งที่ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าก็รีบหนีไปโดยลืมรองเท้าแก้วเอาไว้ เจ้าชายเก็บรองเท้าไว้ได้จึงประกาศว่าจะทรงแต่งงานกับหญิงสาวที่สวมรองเท้าแก้วนี้ได้เท่านั้น



เสนาบดีได้นำรองเท้าแก้วไปตามบ้านต่างๆ เพื่อให้หญิงสาวทั่วอาณาจักรได้ลอง จนมาถึงบ้านแม่เลี้ยง เมื่อลูกสาวทั้งสองลองครบแล้ว นางก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก พร้อมทำลายรองเท้าแก้วจนแตกละเอียด ทุกคนต่างหมดหวังว่าจะไม่สามารถหาหญิงปริศนาของเจ้าชายพบ แต่สุดท้าย ซินเดอเรลล่าก็หยิบรองเท้าแก้วอีกข้างที่เก็บไว้ขึ้นมาและสวมให้กับเหล่าเสนาได้ดู ทำให้ซินเดอเรลล่าได้แต่งงานกับเจ้าชาย และมีความสุขตราบนานเท่านาน

โฉมงามกับเจ้าชายอสูร



โฉมงามกับเจ้าชายอสูร (ฝรั่งเศส: La Belle et la Bête) เป็นนิทานโบราณดั้งเดิม ฉบับแรกซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส ประพันธ์โดย มาดามGabrielle-Suzanne Barbot de Villeneuve ใน พ.ศ. 2283 ฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุด คือฉบับที่ได้รับการย่อเรื่องของมาดาม Villeneuve ใน พ.ศ. 2299 โดย มาดาม Jeanne-Marie Leprince de Beaumont ฉบับภาษาอังกฤษฉบับแรกได้ออกมาใน พ.ศ. 2300 [1]

หลากหลายฉบับของนิทานเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร ได้เป็นที่รู้จักดีในยุโรป[2] ยกตัวอย่าง ในประเทศฝรั่งเศส Zémire et Azor เป็นฉบับโอเปราของนิทานเรื่องนี้ ประพันธ์โดย Marmontel และจัดการบรรเลงโดย Grétry ใน พ.ศ. 2314 ฉบับโอเปรานี้ได้รับชื่อเสียงอย่างมากในศตวรรษที่ 19.[3] ฉบับนี้เป็นฉบับที่ใช้โครงร่างของฉบับมาดาม Jeanne-Marie Leprince de Beaumont



พ่อค้าผู้ร่ำรวยผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองกับลูกสาวสามคน ลูกสาวคนสุดท้องได้รับการตั้งชื่อว่า เบลล์ (แปลว่าสวยงาม ในภาษาฝรั่งเศส: Belle) เพราะว่าเธอเป็นเด็กที่มีจิตใจดีและบริสุทธิ์ พ่อค้าผู้มั่งมีผู้นั้นในที่สุดก็ได้สูญเสียทรัพย์หลวงใหญ่ที่เขามี ความโชคร้ายของเขานั้น ทำให้เขากับลูกทั้งสาม ต้องย้ายที่พักอาศัยไปอยู่แถบชนบท หลังจากการอาศัยอยู่กับความลำบากผ่านมาเป็นปีๆ นี้แล้ว พ่อค้าเขาได้รับข่าวว่าเรือสรรพสินค้าที่เขาเคยส่งออกขายในอดีต ได้กลับเข้ามาสู่ท่าเรือ ซึ่งเป็นเรือที่หนีเจ้าหนี้มาได้ ดังนั้นพ่อค้าผู้นั้นได้ตัดสินใจว่า เขาจะไปดูในเมืองว่าเรือนี้ยังมีอะไรเหลือให้เขาและลูกอยู่ ก่อนที่เขาจะจากลูกๆ ในชนบทไปในเมือง เขาได้ถามลูกๆ ว่าอยากได้ของขวัญอะไร ลูกคนโตทั้งสองได้บอกพ่อของพวกเธอว่าพวกเธอประสงค์เครื่องเพชร และชุดสวยงาม โดยคิดว่าพ่อจะต้องกลับมาพร้อมกับความร่ำรวย เบลล์ลูกสาวสุดท้อง อยากได้แค่เพียงดอกกุหลาบเพียงดอกเดียว เพราะไม่มีกุหลาบโตแถวชนบท พอพ่อค้าได้ถึงท่าเรือ เขาก็ได้เจอกับความผิดหวัง เพราะเรือสรรพสินค้านั้น ได้ถูกเจ้าหนี้ยึดไปเสียแล้ว ซึ่งทำได้เขาไม่มีเงินที่จะซื้ออะไรให้ลูกของเขาเลย

ระหว่างการเดินทางกลับของเขา พ่อค้าได้หลงทางในป่า เขาเข้าไปในปราสาท โดยการที่ต้องการหาที่พักอาศัย พอเดินเข้าไปข้างใน เขาได้พบว่าในข้างใน ได้มีโต๊ะที่มีอาหารและเครื่องดืมมากมาย ซึ่งพ่อค้ารู้ทันทีเลยว่าเจ้าของปราสาทต้องจัดไว้ให้ พ่อค้าจึงรับของเหล่านี้โดยการรับประทาน ระหว่างที่เขากำลังจะเดินกลับจากปราสาท พ่อค้าก็ได้เจอ สวนดอกกุหลาบ และเขาจำได้ทันทีเลยว่า กุหลาบเป็นสิ่งที่เบลล์ต้องการ ในขณะที่เขากำลังเด็ดดอกกุหลาบ เขาก็ได้พบเจอกับอสูร ซึ่งทำให้พ่อค้ารู้เลยว่า ดอกกุหลาบคือสิ่งที่อสูรรักและหวงมาก อสูรตัดสินใจว่าจะลงโทษการกระทำของพ่อค้า ด้วยการขังพ่อค้าโดยไม่มีวันปล่อย พ่อค้าขอร้องอสูรอิสรภาพ โดยบอกอสูรว่าที่เขาทำลงไป ก็เพราะเขาต้องการทำให้ลูกสาวของเขา เขาอยากได้ดอกกุหลาบเป็นของขวัญให้ลูกคนเล็ก เมือฟังแล้ว อสูรก็ปล่อยพ่อค้า โดยมีข้อแม้ว่าพ่อค้าจะต้องนำตัวลูกสาวเขามาแทนที่ตน



พ่อค้าโศกเศร้ามาก แต่เขายอมทำสิ่งที่อสูรต้องการ เมือกลับมาถึงบ้าน พ่อค้าพยายามปรกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นจากเบลล์ แต่เบลล์เธอก็จับได้ และยินยอมที่จะไปเป็นนักโทษในปราสาทของอสูร เพราะเธอรู้ผิดที่ว่าเธอเป็นผู้ที่ต้องการกุหลาบนั้นตั้งแต่ทีแรก ในปราสาท เบลล์ได้รับการเลี้ยงดูและการเอาใจใส่อย่างดีงามมาก โดยได้รับเป็นแขกชั้นสูง อสูรได้มอบชุดสวยงามและอาหารอย่างดีให้เธอ อสูรได้สนทนากับเบลล์ทุกๆคืน และทุกๆคืน อสูรได้ขอเบลล์สมรส แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง และทุกครั้งที่เธอปฏิเสธการสมรส เธอก็ได้ฝันเห็นถึงเจ้าชายโฉมงาม ผู้ที่ต้องการอยากรู้ว่าด้วยเหตุใดเธอถึงทำเช่นนี้กับเขา เบลล์ไม่คิดว่าเจ้าชายโฉมงามจะมีการเกี่ยวคล้องกับอสูร(เธอไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกัน) เธอกลับคิดว่าอสูรได้กักขังเจ้าชายโฉมงามไว้ในปราสาท เพราะฉะนั้น เบลล์จึงค้นหาทุกซอกทุกมุมในปราสาท แต่ไม่เคยเจอเจ้าชายโฉมงามในฝันของเธอเลย

ในที่สุด เบลล์ก็เกิดอาการคิดถึงบ้าน และอ้อนวอนให้อสูรปลดปล่อยเธอไปหาครอบครัวเธอ อสูรทำตามใจเบลล์ แต่ต้องสัญญาว่าจะกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์ เบลล์ให้คำสัญญา และกลับบ้านพร้อมกับกระจกวิเศษและแหวนวิเศษ กระจกวิเศษนี้สามารถทำให้เธอมองเห็นผ่านความเงา และเห็นความเป็นอยู่ของปราสาท ส่วนแหวนวิเศษมีเวทมนตร์ที่ทำให้เธอกลับมาปราสาทได้ โดยต้องหมุนแหวนในนิ้วนางสามรอบ พอถึงบ้านพี่สาวทั้งสองได้เห็นเบลล์อยู่สุขสบายกว่าพวกเธอ และมีเสื้อผ้าที่หรูหราใส่ พวกเธอจึงริษยาน้องสาวขึ้นมาทันที ด้วยไฟริษยาและรู้ว่าเบลล์ต้องกลับภายในหนึ่งสัปดาห์ พี่สาวทั้งสองจึงเล่นละครแกล้งร้องไห้ร่ำไรไม่ให้เบลล์กลับไปปราสาท ด้วยสัญชาตญาณที่ดีของเบลล์ เธอจึงตัดสินใจไม่กลับ



เบลล์เกิดรู้สึกไม่ดีที่ผิดสัญญากับอสูร และใช่กระจกวิเศษมองดูว่าอสูรเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อมองในกระจก เธอได้เห็นว่าอสูรกำลังนอนใกล้จะตายด้วยความอกหัก อยู่ที่สวนกุหลาบตรงที่พ่อเธอเคยแอบเด็ดไว้ เมื่อเห็นภาพที่อนาถตาแล้ว เธอจึงใช่แหวนวิเศษกลับไปหาอสูรที่ปราสาททันที

เมื่อเบลล์ถึงสวนดอกกุหลาบ อสูรก็ได้สิ้นชีวิตแล้ว เธอร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ และพูดเสียงแผ่วเบาหลายๆ รอบ ว่าเธอรักอสูร แต่เมื่อน้ำตาเธอหยดลงบนอสูร อสูรก็ได้ฝืนคืนชีพกลับมา และร่างกายเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงกายเป็นเจ้าชายโฉมงาม(เจ้าชายผู้เดียวกันที่เคยมาเยือนในฝันเบลล์) เจ้าชายผู้นี้เลยเล่าเรื่องให้เบลล์ฟังว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นางฟ้าสาปให้เขากลายเป็นอสูรที่อัปลัษณ์น่าเกลียดน่ากลัว หลังจากที่ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือเธอ ซึ่งหนีฝนมา นางฟ้าบอกเจ้าชายว่า วิธีเดียวที่จะทำให้คำสาปหายคือการหารักแท่ โดยที่ไม่ใช่รูปโฉม

สโนว์ไวท์



กาลครั้งหนึ่งในดินแดนสุดมหัศจรรย์ ยังมีองค์หญิงน้อยแสนงามผู้มีผมดำดุจไม้มะเกลือ ริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบและมีผิวขาวผ่องดังหิมะ เธอคือสโนไวท์ ผู้ที่รู้จักเธอล้วนรักเธอเว้นแต่ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายผู้ริษยาในความงามของเธอสโนไวท์อาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีน้ำตกเจ็ดชั้นและภูเขาอัญมณีเจ็ดลูกที่ภายในมีอัญมณีเลอค่ามากมาย ภูเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สโนไวท์เติบโตมาภายใต้อำนาจของราชินี

ถึงแม่ว่าความปรารถนาที่จะมีรักแสนหวานของเธอจะดูเป็นไปไม่ได้แต่ความรักก็สามารถหาทางของมันได้เสมอแม้ว่าเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่สามารถห้ามให้เจ้าชายหลงรักสโนไวท์ได้



ราชินีเกรงว่าสักวันสโนไวท์จะเติบโตและงดงามกว่าพระนาง ด้วยเหตุนี้พระนางจึงใช้ให้สโนไวท์ทำงานหนักดั่งทาส และเมื่อกระจกวิเศษเผยแก่ราชินีว่าสโนไวท์งดงามกว่าพระนาง ชีวิตของสโนไวท์ก็ตกอยู่ในอันตราย จนกระทั่งเธอได้พบเพื่อนตัวเล็กๆทั้งเจ็ดคนที่ช่วยเหลือเธอไว้

สโนไวท์วิ่งหนีใปในป่ามืด ดูเหมือนว่าต้นไม้เกิดมีชีวิตและพยายามจะฉุดรั้งสโนไวท์เอาไว้ เธอเหนื่อยล่าและหวาดกลัวจนกระทั่งหมดแรงและล้มลงกลางป่า แล้วสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือเสียงเพลงและรอยยิ้ม



ระหว่างที่สโนไวท์กำลังทำกูซเบอร์รี่พายของโปรดของเหล่าคนแคระ แม่ค้าเร่ก็เข้ามาคะยั้นคะยอเธอให้ทำแอปเปิ้ลพายด้วยลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือนาง และเมื่อสโนไวท์อธิษฐานต่อแอปเปิ้ลเธอกัดมันและสลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที!

สโนไวท์ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับเห็นเจ้าชายรูปงามและเหล่าคนแคระรายล้อม เจ้าชายพาเธอขี่ม้าไปที่ปราสาทของเขาและทั้งคู่ก็อย่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล

เจ้าหญิงนิทรา



เจ้าหญิงนิทรา (อังกฤษ: Sleeping Beauty, ฝรั่งเศส: La Belle au Bois dormant) คือเทพนิยายโบราณ ฉบับแรกซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส พิมพ์ใน พ.ศ. 2240 โดยท่านชาร์ลส แปร์โรลต์

ในงานเฉลิมฉลองการประสูติของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง มีนางฟ้าหลายตนเสก ความงาม ปัญญา และ ความสามารถในดนตรี มอบให้เป็นของขวัญวันประสูติของเจ้าหญิง แต่เมื่อนางฟ้าทั้งหลายเสกให้พรเจ้าหญิงเสร็จสรรพ นางฟ้าใจร้ายผู้ที่โกรธแค้นที่ตนไม่ได้การรับเชิญก็โผล่มาในงาน และด้วยความแค้นอาฆาต นางจึงเสกคำสาปให้เป็นของขวัญประสูติ คำสาปนั้นคือ เมื่อเจ้าหญิงเติบใหญ่เป็นสาว พระนางจะถูกเข็มปั่นด้ายทิ่มนิ้วและสิ้นชีพทันที เมื่อนางฟ้าใจร้ายจากไปจากงาน นางฟ้าผู้ที่ยังไม่ได้ให้พรพระนางก็ตัดสินใจแก้คำสาป แต่เธอมิสามารถแก้ได้ทั้งหมด ส่วนที่แก้ได้คือ แทนที่พระนางจะสิ้นชีพเมื่อโดนเข็มตำ ความตายจะกลายเป็นการหลับนอนแทน พระนางจะต้องบรรทมไปถึง 100 ปี จนกว่าจะมีเจ้าชายมาจุมพิต



พระบิดา (กษัตริย์) ของพระนาง ได้สั่งให้ราษฎรเลิกใช้และทำลายเข็มปั่นด้ายทั้งหมดในราชอาณาจักร และถ้ามีผู้ขัดขืน ผู้นั้นจะได้รับการลงทัณฑ์ด้วยความตาย แต่เมื่อเจ้าหญิงอายุ 15 หรือ 16 ปี พระนางก็ได้มาเจอสาวชราผู้หนึ่ง ผู้ที่ไม่ได้รับข่าวการทำลายเข็มปั่นด้าย ด้วยความประหลาดตาของพระนาง พระนางจึงสนใจอยากลองปั่นด้ายขึ้นมาทันที ในที่สุด เจ้าหญิงก็โดนเข็มปั่นด้ายทิ่มแทงนิ้วและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ตามคำสาปของนางฟ้าใจร้าย นางฟ้าใจดีทั้งหลายก็ได้กลับมา พวกเธอเสกให้ทุกคนในวังหลับหมดไปพร้อมกับเจ้าหญิง (ถ้าเจ้าหญิงตื่นเมื่อไร คนในวังก็จะตื่นเมื่อนั้น) และพวกเธอก็เสกให้ป่าไม้ที่มีหนามมากมายขึ้นรอบๆ วัง เพื่อไม่ให้มีใครเข้ามาได้

หนึ่งร้อยปีผ่านมา มีเจ้าชายผู้ที่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าหญิงนิทรานี้ ตัดสินใจฝ่าฟันป่าขวากหนามเข้าไปหาเจ้าหญิง ด้วยความอยากพิสูจน์ว่าเรื่องราวของเจ้าหญิงเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เมื่อเจ้าชายได้เข้าไปในวังของเจ้าหญิงนิทรา เจ้าชายก็รู้ทันทีเลยว่า เรื่องเล่านั้นเป็นเรื่องจริง เจ้าชายจูบเจ้าหญิง ซึ่งทำให้เธอฟื้นขึ้นมาทันที หลังจากนั้นทุกคนในวังก็ตื่นพร้อมๆ กันกับเจ้าหญิง



เมื่อสมรสอย่างลับๆโดยนักสังคมสงเคราะห์หลวงที่เพิ่งฟื้นตื่น เจ้าชายจอห์นก็ยังไปเยี่ยมเจ้าหญิงอยู่ ซึ่งพระนางได้มีบุตร 2 คนให้เจ้าชาย มีชื่อว่า โลรอร์ (ฝรั่งเศส: L'Aurore แปลว่า เช้ามืด) และ เล จูร์ (ฝรั่งเศส: Le Jour แปลว่า วัน) ซึ่งเจ้าชายเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากมารดาของเขา ผู้ที่มีเชื้อสายยักษ์ เมื่อเจ้าชายได้ขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ก็พาบุตรและพระชายาไปที่นครหลวงของพระองค์ ซึ่งในไม่ช้าพระองค์ได้ออกจากนครหลวง โดยให้มารดาเป็นผู้สำเร็จราชการ ในขณะที่พระองค์ไปทำศึกกับกษัตริย์เพื่อนบ้าน ผู้มีนามว่า จักรพรรดิ์คองทาลาบุทท์



มารดาราชินียักษ์ส่งราชินีสาว และลูกของพระนางไปที่เรือนที่แยกตัวจากวัง ซึ่งอยู่ในป่า และได้สั่งให้พ่อครัวหลวงของเธอไปที่นั่น เพื่อที่จะเอาบุตรชายของพระนางสาวมาเป็นอาหารค่ำ โดยให้ปรุงด้วยซอสโรเบิร์ท(มัสตาร์ดสีน้ำตาลของฝรั่งเศส) พ่อครัวหลวงผู้นั้นสงสารเลยใช้เนื้อลูกแกะแทน ซึ่งทำให้ราชินียักษ์โปรดโดยไม่รู้ว่าเป็นเนื้อลูกแกะ จากมื้อนี้เธอก็ได้ให้คำสั่งอีกว่าอยากรับประทานลูกสาวของพระนางสาว แต่พ่อครัวหลวงก็แอบเอาลูกแกะมาแทนเหมือนเดิมด้วยซอสโรเบิร์ทรสเลิศ เมื่อนางยักษีได้สั่งให้พ่อครัวหลวงนำพระนางสาวมาเป็นอาหารมื้อต่อไป พระนางสาวจึงอาสาเสนอมอบคอพระนางให้พ่อครัวเชื่อด โดยที่คิดว่าพระนางจะได้ไปอยู่กับบุตรทั่ง 2 ที่พระนางคิดว่าตายไปแล้ว มีการกลับมารวมกันใหม่แบบลับที่เศร้าโศกในบ้านของพ่อครัวหลวง โดยขณะที่มารดาราชินียักษ์กำลังรับประทานเนื้อกวางตัวเมียกับซอสโรเบิร์ทอย่างเอร็ดอร่อย ในไม่ช้านางยักษีก็รู้ความลับ และเธอก็เตรียมอ่างที่เต็มไปด้วยงูพิษและสัตว์ร้ายอื่นๆ ในสนามหลวง กษัตริย์ได้กลับมาพอดีกับในขณะเวลาที่นางยักษีกำลังดำเนินการนี้ และเมื่อนางโดนจำได้ในการกระทำชั่ว เธอก็กระโดดลงอ่างเอง และตายอย่างสาหัส และทุกๆ คนก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดนิรันดร

ระวังไข้เลือดออก



ช่วงนี้ฝนตกชุกทุกพื้นที่ ทำให้ยุงลายเพาะพันธุ์ได้ง่าย ทั้งที่บ้านและโรงเรียน ผู้ปกครองระวังโรคไข้เลือดออกระบาดสู่เด็กๆ...

"ไข้เลือดออก" เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยทั่วไปยุงลายจะออกหากินกัดคนในเวลากลางวัน ยุงลายจะเพาะพันธุ์ในน้ำใสสะอาดและนิ่ง แหล่งเพาะพันธุ์ส่วนใหญ่คือภาชนะที่มีน้ำขัง เมื่อยุงลายตัวเมียดูดเลือดจากผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่เข้าไป เชื้อไวรัสเดงกี่ในยุงจะเพิ่มจำนวน และกระจายเชื้อเข้าไปสู่ต่อมน้ำลายของยุง เตรียมพร้อมที่จะปล่อยเชื้อให้กับคนที่ถูกกัดครั้งต่อไปได้ โดยเชื้อจะอยู่ตลอดอายุของยุง จะพบยุงลายชุกชุมมากในฤดูฝน การควบคุมยุงลายทำได้โดยทำลายแหล่งเพาะพันธุ์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และกำจัดลูกน้ำยุงลายโดยใส่ทรายอะเบต (abate) ลงในภาชนะที่มีน้ำขัง

การติดเชื้อไวรัสเดงกี่จากยุงลายจะมีอาการอย่างไร ?

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 ที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกี่ จะไม่แสดงอาการ ส่วนผู้ป่วยที่แสดงอาการจะแบ่งอาการออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

ไข้ไวรัส ผู้ป่วยจะมีเพียงไข้ 2-3 วัน และอาจมีผื่นตามตัว ซึ่งจะมีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ

ไข้เดงกี่ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มักมีผื่นตามตัว และพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ

tourniquet test ถ้าเจาะเลือดมักจะมีเม็ดเลือดขาวต่ำ บางรายอาจมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมด้วย

ไข้เลือดออกเดงกี่ ผู้ป่วยมีไข้สูง 2-7 วัน มีอาการเลือดออก ส่วนใหญ่พบที่ผิวหนัง ตับโต และพบจุดเลือดออกจากการทดสอบ tourniquet test ลักษณะเฉพาะของโรคคือ มีการรั่วของพลาสมาหรือน้ำเหลืองออกจากเส้นเลือด ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะช็อกได้ โดยส่วนใหญ่จะมีการรั่วของพลาสมาประมาณ 24-48 ชั่วโมง หลังจากระดับเกล็ดเลือดลดต่ำลง

ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร ?

การดำเนินโรค แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ติดต่อกันเป็นเวลา 2-7 วัน มักมีอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ตับโต กดเจ็บ บางรายอาจมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายที่ผิวหนัง มักไม่มีอาการหวัดชัดเจน

ระยะวิกฤติ เป็นระยะที่ไข้มักลดลงอย่างรวดเร็วและมีการรั่วของพลาสมา ถ้าหากมีการรั่วอย่างมาก จะเกิดภาวะช็อกได้ ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วและเบา มีความดันโลหิตต่ำ และอาจมีอาการเลือดออกที่อวัยวะอื่นๆ ในรายที่รุนแรงอาจอาเจียน และถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ

ระยะฟื้นตัว เป็นระยะที่พลาสมากลับเข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยจะมีอาการทั่วไปดีขึ้น มีความอยากอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น มีผื่นเป็นวงกลมสีขาวกระจายอยู่บนปื้นสีแดง และอาจมีอาการคันร่วมด้วย

ทราบได้อย่างไรว่าเป็นไข้เลือดออก ?
วินิจฉัยจากลักษณะอาการทางคลินิก ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น ดังนี้

การตรวจนับเม็ดเลือด ในตอนต้นของระยะไข้สูง จำนวนเม็ดเลือดขาวอาจปกติหรือสูงเล็กน้อย ในตอนปลายของระยะไข้สูงจำนวนเม็ดเลือดขาวมักต่ำลง ต่อมาจะพบว่าจำนวนเกล็ดเลือดต่ำลง

การตรวจภาพรังสีปอด อาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด

การตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด การตรวจการทำงานของตับ การตรวจทางภูมิคุ้มกันจำเพาะต่อเชื้อ การเพาะเชื้อไวรัส เป็นต้น

การรักษาโรคไข้เลือดออก

ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไข้เลือดออก ควรได้รับการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจปริมาณเกล็ดเลือด และระดับความเข้มข้นของเลือด

ในช่วงระยะไข้สูง ควรเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ระวังอาจมีการชักได้โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือเด็กที่มีประวัติชักมาก่อน การรับประทานยาลดไข้ควรให้ด้วยความระมัดระวัง และให้เป็นครั้งคราวเวลาที่มีไข้สูงเท่านั้น กรณีจำเป็นต้องให้ยาลดไข้ควรใช้ยาพวกพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้จำพวกแอสไพริน เนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะเลือดออก

ในกรณีที่เริ่มเข้าสู่ระยะวิกฤติ หรือระยะที่มีการรั่วของพลาสมา แพทย์จะพิจารณารับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหารมาก ไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย ถ่ายปัสสาวะน้อยลง อาเจียนมาก ปวดท้องอย่างรุนแรง ซึม มีอาการแย่ลงเมื่อมีไข้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น อาจเป็นอาการนำของภาวะช็อก ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

คำแนะนำ

ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูงติดต่อกันเกิน 3 วัน ควรพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง ระวังไม่ให้ยุงกัดในเวลากลางวัน และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

คุกกี้แฟนซี

ส่วนผสมคุกกี้วานิลลา
แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 1 1/4 ถ้วย
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
เกลือ 1/4 ช้อนชา
เนยเค็มหั่นชิ้นเล็ก 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทรายป่น 3/4 ถ้วย
ไข่ไก่ตีพอเข้ากัน 1/2 ฟอง
วานิลลา 1/2 ช้อนชา
เนยขาวทาถาด

ส่วนผสมคุกกี้โกโก้ มีส่วนผสมเท่ากับส่วนผสมของคุกกี้วานิลลา แต่เพิ่มผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำคุกกี้วานิลา
- ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ เข้าด้วยกัน 2 ครั้ง พักไว้
- ตีเนยความเร็วปานกลาง จนขึ้นฟูเป็นสีครีมนวล ค่อย ๆ ใส่น้ำตาล ตีให้เข้ากัน ใส่ไข่ วานิลลา ผสมให้เข้ากัน
- ลดความเร็วต่ำสุด ค่อย ๆ ใส่แป้ง ตีพอเข้ากัน ปิดเครื่อง
- แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน คลุมพลาสติกหรือผ้าขาวบาง นำเข้าแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา 30 นาที

วิธีทำคุกกี้โกโก้
- ร่อนแป้ง ผงโกโก้ ผงฟู เกลือ เข้าด้วยกัน 2 ครั้ง พักไว้ ขั้นตอนต่อไปทำวิธีผสมแบบเดียวกับคุกกี้วานิลลา แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน นำเข้าแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา 30 นาที

นำแป้งออกจากตู้มาทำลวดลาย 2 ลาย

1. ลายเขาวงกต



คลึงแป้งคุกกี้วานิลลา 1 ส่วน ให้เป็นแผ่นหนา 0.5 ซม. คลุมด้วยกระดาษไข และคลึงแป้งคุกกี้โกโก้ 1 ส่วน ให้เป็นแผ่นหนาเช่นเดียวกับแป้งคุกกี้วานิลลา
นำแป้งทั้งสองชนิดประกบเข้าด้วยกัน คลีงแป้งเบา ๆ ให้ติดกันดี จากนั้นตัดแป้งให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 4 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว ม้วนแป้งคุกกี้เป็นแท่งกลม โดยให้แผ่นแป้งคุกกี้วานิลลาอยู่ด้านนอก จากนั้นเคาะแป้งคุกกี้ให้เป็นแท่งสี่เหลี่ยม กว้าง 1 1/2 นิ้ว ยาว 1 1/2 นิ้ว อีกครั้ง ห่อด้วยกระดาษไข นำเข้าแช่ในตู้เย็นช่องแข็งประมาณ 1 ชมหรือแช่ข้ามคืน



2. วิธีทำลวดลายตาหมากรุก



คลึงแป้งคุกกี้วานิลาที่เหลือหนา 0.5 ซม. ตัดเป็นเส้นกว้าง 1 ซม.ยาว 10 ซม. คลุมด้วยกระดาษไข นำส่วนแป้งคุกกี้โกโก้ที่เหลือทำแบบเดียวกับแป้งคุกกี้วานิลลา
นำแป้งทั้งสองชนิดมาวางเรียงสลับกัน 4 ชิ้น จะได้ 1 แผ่น ทำอย่างนี้จนครบ 4 แผ่น แล้วนำมาซ้อนกันให้ได้ 4 ชั้น จากนั้นเคาะแป้งคุกกี้ให้เป็นแท่งสี่เหลี่ยมให้ติดแน่นเข้ากันดีอีกครั้ง ห่อด้วยกระดาษไขให้แน่น นำเข้าแช่ในตู้เย็นช่องแข็ง 1 ชม.หรือแช่ข้ามคืน

นำแป้งคุกกี้ออกจากตู้เย็น พักให้คลายตัว ตัดคุกกี้เป็นชิ้นหนาประมาณ 1 ซม. วางในถาดห่างกัน 1 นิ้ว นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที หรือจนสุกเหลืองทั่ว