ผักบำรุงสายตา

ขึ้นชื่อว่า 'ผัก' เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ผักแต่ละชนิดก็จะมีสารอาหารที่ต่างกันไป เมนูอาหารเบบี๋ฉบับนี้ Madame อยากชวนคุณแม่มาเลือกผักบำรุงสายตาให้ลูกน้อย ไม่ใช่เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจนะคะ แต่ดวงตายังเป็นหน้าต่างบานสำคัญที่เปิดการเรียนรู้โลกกกว้างให้ลูกอีกด้วย

สารอาหารบำรุงสายตา

พูดถึงเรื่องอาหารบำรุงสายตา ปู่ย่าตายายบอกต่อกันมาว่า ต้องให้ลูกกินผักบุ้งหรือฟักทองเยอะๆ จะช่วยได้ ตอนนั้นไม่ได้บอกหรอกว่าเพราะอะไรแต่ก็เชื่อกันต่อๆ มา จนวันนี้ได้คุยกับป้าเกศจึงถึงบางอ้อว่า อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอทั้งหลายขึ้นชื่อเรื่องดูแลสุขภาพตายิ่งนัก (ฟักทองกับผักบุ้งก็มีวิตามินเอเสียด้วยสิ) ช่วยเพิ่มสมรรถภาพการมองเห็น และการมองในที่ซึ่งมีแสงสว่างน้อยๆ ช่วยเสริมกำลังให้การแบ่งเซลล์เยื่อบุต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ปกติ เรียกว่าช่วยดูแลทั้งการเจริญเติบโต รวมทั้งผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง และสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย

แต่ถ้าร่างกายขาดวิตามินเอก็จะทำให้เวลากลางคืนมองเห็นไม่ชัด เยื่อบุตาแห้ง ทำให้เกิดการระคายเคืองและบาดเจ็บที่ตาง่าย ผิวแห้งเป็นขุยเกิดแผลและอักเสบง่าย ยิ่งถ้าเป็นเด็กเล็กๆ ล่ะก็จะมีผลกับการเจริญเติบโตและภูมิต้านทานของร่างกายลดลงด้วย

ก่อนจะเป็นวิตามินเอ

วิตามินเอมาจากสารเรตินอลและสารแคโรทีนค่ะ โดยวิตามินที่ได้จากเนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ ตับ และน้ำมันตับปลา จะเป็นสารเรตินอล หากร่างกายได้รับวิตามินเอจากสารเรตินอลจะสามารถเอาไปใช้ได้ทันที ส่วนวิตามินเอที่ได้จากพืชจะถูกเรียกว่า เบต้าแคโรทีน ก่อนที่ร่างกายจะดึงวิตามินเอไปใช้งานได้ ต้องผ่านกระบวนการสังเคราะห์ภายในร่างกาย เพื่อให้กลายเป็นวิตามินเอก่อน

เจ้าเบต้าแคโรทีนหรือวิตามินเอที่มาจากผักนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลยค่ะ มีอยู่ในพืชผักผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เช่น แครอต ฟักทอง มะละกอ และผักใบเขียวเข้ม อย่างตำลึง ใบยอ คะน้า สะระแหน่ บร็อกโคลี ฯลฯ ที่คุณแม่เห็นได้ตามตลาดค่ะ แต่ก่อนที่จะเลือกผักชนิดใดมาปรุงนั้น สีสันมากมายขนาดนี้แน่นอนค่ะว่าช่วยให้อาหารจานนั้นๆ ดูน่ากินมากขึ้น ยิ่งกับเด็กๆ แล้วล่อตาล่อใจให้อยากหม่ำได้มากค่ะ

Top 5 ผักอุดมวิตามินเอ

หากพูดถึงผักบำรุงสายตาที่มีวิตามินเอสูงสุด คุณแม่คงไม่ปฏิเสธว่านึกถึงฟักทองเสียเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมคะ แต่จริงๆ แล้วผักที่มีวิตามินเอสูงสุด 5 อันดับแรกที่จัดลำดับโดย กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือ “ตารางแสดงคุณค่าสารอาหารของไทย” เรียงลำดับไว้จากมากไปหาน้อยดังนี้


1.ตำลึง

ไม้เลื้อยที่รู้จักกันดี เมื่อก่อนนิยมปลูกริมรั้วบ้าน ตำลึงเป็นผักที่มีรสหวาน กลิ่นหอม ที่ไม่ได้อุดมไปด้วยวิตามินเอ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินซี ฯลฯ ด้วย นอกจากตำลึงจะช่วยบำรุงสายตาแล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง หัวใจขาดเลือด และยังมีเส้นใยที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้

เมนูแนะนำ : บดรวมกับข้าวบดของลูกวัยเบบี๋ได้สบายๆ หรือถ้าลูกวัยขวบปีขึ้นไปจะปรุงเมนูแกงจืดใบตำลึง ต้มเลือดหมู หรือชุบแป้งทอดกรอบๆ ให้ลูกกินอร่อยไม่น้อย


2.ผักหวาน

มีทั้งแบบผักหวานบ้านและผักหวานป่า ฟังดูเหมือนจะหาซื้อได้ยาก แต่ทุกวันนี้ผักหวานมีให้กินกันตลอดปี และผักหวานเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม และมีคุณสมบัติเร่งการเผาผลาญกรดอะมิโนให้เป็นพลังงาน ดีสำหรับลูกแล้วยังเหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังลดน้ำหนักด้วย...ขอบอก

เมนูแนะนำ : แกงจืดผักหวาน แกงเลียง ผัดผักหวาน หรือลวกจิ้มน้ำพริก

3.แครอต

เป็นผักที่ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงสายตา ถึงขนาดเป็นอาหารจำเป็นของนักบินอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเชื่อว่าช่วยในการโจมตีข้าศึกตอนกลางคืน และโจมตีเป้าหมายได้แม่นยำ นอกเหนือจากวิตามินเอแล้ว แครอตยังมีวิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเค ช่วยป้องกันมะเร็ง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งลำไส้ และยังช่วยให้ผิวพรรณดี ชะลอความแก่ ถึงแม้แครอตจะเป็นผักอิมพอร์ต แต่ก็คุ้นชินกับคนไทยเป็นอย่างดี

เมนูแนะนำ : เป็นส่วนประกอบในผัดแทบจะทุกชนิด สลัด ทำเป็นน้ำแครอต หรือต้มสุก ให้ลูกจิ้มกับดิปกินเป็น Finger Food ได้

4.ฟักทอง

เป็นผักที่ใช้ได้ทั้งยอดอ่อน ดอกตูม ลูกฟักทองอ่อน และเนื้อฟักทองแก่ เพราะฟักทองมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของลูกหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันด้วย

เมนูแนะนำ : ปรุงได้ทั้งอาหารคาวหวาน เช่น ฝักทองผัดไข่ แกงบวดฝักทอง ชุบไข่ทอด หรือต้มให้เจ้าตัวเล็กกินเป็นของว่างก็อร่อยไม่แพ้กัน

5.มะเขือเทศ

ผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศผลขนาดปานกลางจะมีวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล และมะเขือเทศ 1 ผลจะมีวิตามินเอมากถึง 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด

เมนูแนะนำ : ข้าวผัด สลัด แซนวิช ซุปมะเขือเทศ หรือจะทำเป็นดิปให้ลูกใช้แครอตหรือฟักทองต้มจิ้มเป็นของว่างก็ได้

ซินเดอเรลล่า



ซินเดอเรลล่า (อังกฤษ: Cinderella; ฝรั่งเศส: Cendrillon) เป็นเทพนิยายปรัมปราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั่วทั้งโลก มีการดัดแปลงเป็นรูปแบบต่างๆ มากมายกว่าพันครั้ง[1] เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งที่อยู่ในอุปถัมภ์ของแม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาส ต่อภายหลังจึงได้พบรักกับเจ้าเมืองหรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ตำนานซินเดอเรลล่ามีปรากฏในเทพนิยายหรือนิทานพื้นบ้านประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกโดยมีชื่อของตัวเอกแตกต่างกันออกไป ทว่าฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ลส แปร์โรลต์ ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งอิงมาจากวรรณกรรมของ จิอัมบัตติสตา เบซิล เรื่อง La Gatta Cenerentola ในปี ค.ศ. 1634 ในเรื่องนี้ตัวเอกมีชื่อว่า เอลลา (Ella) แต่แม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายของเธอพากันเรียกเธอว่า ซินเดอเรลล่า (Cinderella) อันหมายถึง "เอลลาผู้มอมแมม" ซึ่งกลายเป็นชื่อเรียกเทพนิยายในโครงเรื่องนี้โดยทั่วไป



ซินเดอเรลล่าเดิมมีชื่อว่า เอลล่า (Ella) เป็นบุตรสาวของเศรษฐีผู้มั่งมี มารดาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเล็ก เป็นเหตุให้บิดาของเอลล่าจำใจแต่งงานใหม่กับมาดามผู้หนึ่งซึ่งเป็นหม้ายและมีลูกสาวติดมาสองคนเพราะอยากให้เอลล่ามีแม่ ไม่นานนักหลังจากนั้น เศรษฐีผู้เป็นบิดาก็เสียชีวิต ทำให้ธาตุแท้ของแม่เลี้ยงปรากฏขึ้น นางกับลูกสาวใช้งานเอลล่าราวกับเป็นสาวใช้ และใช้จ่ายทรัพย์ที่เป็นของเอลล่าอย่างฟุ่มเฟือย ที่ร้ายกว่านั้น ทั้งสามยังเปลี่ยนชื่อของเอลล่า เป็น ซินเดอเรลล่า ที่แปลว่า สาวน้อยในเถ้าถ่าน เพราะพวกนางใช้งานเอลล่าจนเสื้อผ้าขาดปุปะมอมแมมไปทั้งตัวนั่นเอง

ซินเดอเรลล่ายอมทนลำบากทำงานเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง มีจดหมายเรียนเชิญหญิงสาวทั่วอาณาจักรให้มาที่พระราชวังเพื่อร่วมงานเต้นรำ แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ พระราชา ต้องการหาคู่ครองให้กับเจ้าชายซึ่งเป็นพระโอรสองค์เดียว จึงใช้งานเต้นรำบังหน้า เมื่อรู้ข่าว ลูกสาวทั้งสองต่างพากันดีใจที่บางทีตนอาจมีโอกาสได้เต้นรำและได้แต่งงานกับเจ้าชายก็เป็นไปได้ เช่นกันกับซินเดอเรลล่า เพราะเธอใฝ่ฝันมาตลอดเวลาว่าจะได้เต้นรำในฟลอร์ที่งดงามและเป็นอิสระจากงานบ้านอันล้นมือเหล่านี้ แต่แน่นอน เมื่อเด็กสาวขอไป แม่เลี้ยงใจร้ายจึงกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจนซินเดอเรลล่าไม่มีชุดใส่ไปงานเต้นรำ



ซินเดอเรลล่าเสียใจมาก จึงหนีไปร้องไห้อยู่คนเดียว ทันใดนั้นนางฟ้าแม่ทูนหัวของซินเดอเรลล่าก็ปรากฏตัวขึ้นและบันดาลชุดที่สวยงามที่สุดให้ซินเดอเรลลา พร้อมกับบอกให้เด็กสาวไปงานเต้นรำ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องกลับมาก่อนเที่ยงคืน ไม่เช่นนั้นเวทมนตร์จะเสื่อม

ซินเดอเรลล่าได้ทำตามความฝัน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ คู่เต้นรำที่เธอก็ไม่ทราบว่าเป็นใครนั้นคือเจ้าชายนั่นเอง ทั้งสองตกหลุมรักกันทั้งที่ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าก็รีบหนีไปโดยลืมรองเท้าแก้วเอาไว้ เจ้าชายเก็บรองเท้าไว้ได้จึงประกาศว่าจะทรงแต่งงานกับหญิงสาวที่สวมรองเท้าแก้วนี้ได้เท่านั้น



เสนาบดีได้นำรองเท้าแก้วไปตามบ้านต่างๆ เพื่อให้หญิงสาวทั่วอาณาจักรได้ลอง จนมาถึงบ้านแม่เลี้ยง เมื่อลูกสาวทั้งสองลองครบแล้ว นางก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก พร้อมทำลายรองเท้าแก้วจนแตกละเอียด ทุกคนต่างหมดหวังว่าจะไม่สามารถหาหญิงปริศนาของเจ้าชายพบ แต่สุดท้าย ซินเดอเรลล่าก็หยิบรองเท้าแก้วอีกข้างที่เก็บไว้ขึ้นมาและสวมให้กับเหล่าเสนาได้ดู ทำให้ซินเดอเรลล่าได้แต่งงานกับเจ้าชาย และมีความสุขตราบนานเท่านาน

โฉมงามกับเจ้าชายอสูร



โฉมงามกับเจ้าชายอสูร (ฝรั่งเศส: La Belle et la Bête) เป็นนิทานโบราณดั้งเดิม ฉบับแรกซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส ประพันธ์โดย มาดามGabrielle-Suzanne Barbot de Villeneuve ใน พ.ศ. 2283 ฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุด คือฉบับที่ได้รับการย่อเรื่องของมาดาม Villeneuve ใน พ.ศ. 2299 โดย มาดาม Jeanne-Marie Leprince de Beaumont ฉบับภาษาอังกฤษฉบับแรกได้ออกมาใน พ.ศ. 2300 [1]

หลากหลายฉบับของนิทานเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร ได้เป็นที่รู้จักดีในยุโรป[2] ยกตัวอย่าง ในประเทศฝรั่งเศส Zémire et Azor เป็นฉบับโอเปราของนิทานเรื่องนี้ ประพันธ์โดย Marmontel และจัดการบรรเลงโดย Grétry ใน พ.ศ. 2314 ฉบับโอเปรานี้ได้รับชื่อเสียงอย่างมากในศตวรรษที่ 19.[3] ฉบับนี้เป็นฉบับที่ใช้โครงร่างของฉบับมาดาม Jeanne-Marie Leprince de Beaumont



พ่อค้าผู้ร่ำรวยผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองกับลูกสาวสามคน ลูกสาวคนสุดท้องได้รับการตั้งชื่อว่า เบลล์ (แปลว่าสวยงาม ในภาษาฝรั่งเศส: Belle) เพราะว่าเธอเป็นเด็กที่มีจิตใจดีและบริสุทธิ์ พ่อค้าผู้มั่งมีผู้นั้นในที่สุดก็ได้สูญเสียทรัพย์หลวงใหญ่ที่เขามี ความโชคร้ายของเขานั้น ทำให้เขากับลูกทั้งสาม ต้องย้ายที่พักอาศัยไปอยู่แถบชนบท หลังจากการอาศัยอยู่กับความลำบากผ่านมาเป็นปีๆ นี้แล้ว พ่อค้าเขาได้รับข่าวว่าเรือสรรพสินค้าที่เขาเคยส่งออกขายในอดีต ได้กลับเข้ามาสู่ท่าเรือ ซึ่งเป็นเรือที่หนีเจ้าหนี้มาได้ ดังนั้นพ่อค้าผู้นั้นได้ตัดสินใจว่า เขาจะไปดูในเมืองว่าเรือนี้ยังมีอะไรเหลือให้เขาและลูกอยู่ ก่อนที่เขาจะจากลูกๆ ในชนบทไปในเมือง เขาได้ถามลูกๆ ว่าอยากได้ของขวัญอะไร ลูกคนโตทั้งสองได้บอกพ่อของพวกเธอว่าพวกเธอประสงค์เครื่องเพชร และชุดสวยงาม โดยคิดว่าพ่อจะต้องกลับมาพร้อมกับความร่ำรวย เบลล์ลูกสาวสุดท้อง อยากได้แค่เพียงดอกกุหลาบเพียงดอกเดียว เพราะไม่มีกุหลาบโตแถวชนบท พอพ่อค้าได้ถึงท่าเรือ เขาก็ได้เจอกับความผิดหวัง เพราะเรือสรรพสินค้านั้น ได้ถูกเจ้าหนี้ยึดไปเสียแล้ว ซึ่งทำได้เขาไม่มีเงินที่จะซื้ออะไรให้ลูกของเขาเลย

ระหว่างการเดินทางกลับของเขา พ่อค้าได้หลงทางในป่า เขาเข้าไปในปราสาท โดยการที่ต้องการหาที่พักอาศัย พอเดินเข้าไปข้างใน เขาได้พบว่าในข้างใน ได้มีโต๊ะที่มีอาหารและเครื่องดืมมากมาย ซึ่งพ่อค้ารู้ทันทีเลยว่าเจ้าของปราสาทต้องจัดไว้ให้ พ่อค้าจึงรับของเหล่านี้โดยการรับประทาน ระหว่างที่เขากำลังจะเดินกลับจากปราสาท พ่อค้าก็ได้เจอ สวนดอกกุหลาบ และเขาจำได้ทันทีเลยว่า กุหลาบเป็นสิ่งที่เบลล์ต้องการ ในขณะที่เขากำลังเด็ดดอกกุหลาบ เขาก็ได้พบเจอกับอสูร ซึ่งทำให้พ่อค้ารู้เลยว่า ดอกกุหลาบคือสิ่งที่อสูรรักและหวงมาก อสูรตัดสินใจว่าจะลงโทษการกระทำของพ่อค้า ด้วยการขังพ่อค้าโดยไม่มีวันปล่อย พ่อค้าขอร้องอสูรอิสรภาพ โดยบอกอสูรว่าที่เขาทำลงไป ก็เพราะเขาต้องการทำให้ลูกสาวของเขา เขาอยากได้ดอกกุหลาบเป็นของขวัญให้ลูกคนเล็ก เมือฟังแล้ว อสูรก็ปล่อยพ่อค้า โดยมีข้อแม้ว่าพ่อค้าจะต้องนำตัวลูกสาวเขามาแทนที่ตน



พ่อค้าโศกเศร้ามาก แต่เขายอมทำสิ่งที่อสูรต้องการ เมือกลับมาถึงบ้าน พ่อค้าพยายามปรกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นจากเบลล์ แต่เบลล์เธอก็จับได้ และยินยอมที่จะไปเป็นนักโทษในปราสาทของอสูร เพราะเธอรู้ผิดที่ว่าเธอเป็นผู้ที่ต้องการกุหลาบนั้นตั้งแต่ทีแรก ในปราสาท เบลล์ได้รับการเลี้ยงดูและการเอาใจใส่อย่างดีงามมาก โดยได้รับเป็นแขกชั้นสูง อสูรได้มอบชุดสวยงามและอาหารอย่างดีให้เธอ อสูรได้สนทนากับเบลล์ทุกๆคืน และทุกๆคืน อสูรได้ขอเบลล์สมรส แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง และทุกครั้งที่เธอปฏิเสธการสมรส เธอก็ได้ฝันเห็นถึงเจ้าชายโฉมงาม ผู้ที่ต้องการอยากรู้ว่าด้วยเหตุใดเธอถึงทำเช่นนี้กับเขา เบลล์ไม่คิดว่าเจ้าชายโฉมงามจะมีการเกี่ยวคล้องกับอสูร(เธอไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกัน) เธอกลับคิดว่าอสูรได้กักขังเจ้าชายโฉมงามไว้ในปราสาท เพราะฉะนั้น เบลล์จึงค้นหาทุกซอกทุกมุมในปราสาท แต่ไม่เคยเจอเจ้าชายโฉมงามในฝันของเธอเลย

ในที่สุด เบลล์ก็เกิดอาการคิดถึงบ้าน และอ้อนวอนให้อสูรปลดปล่อยเธอไปหาครอบครัวเธอ อสูรทำตามใจเบลล์ แต่ต้องสัญญาว่าจะกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์ เบลล์ให้คำสัญญา และกลับบ้านพร้อมกับกระจกวิเศษและแหวนวิเศษ กระจกวิเศษนี้สามารถทำให้เธอมองเห็นผ่านความเงา และเห็นความเป็นอยู่ของปราสาท ส่วนแหวนวิเศษมีเวทมนตร์ที่ทำให้เธอกลับมาปราสาทได้ โดยต้องหมุนแหวนในนิ้วนางสามรอบ พอถึงบ้านพี่สาวทั้งสองได้เห็นเบลล์อยู่สุขสบายกว่าพวกเธอ และมีเสื้อผ้าที่หรูหราใส่ พวกเธอจึงริษยาน้องสาวขึ้นมาทันที ด้วยไฟริษยาและรู้ว่าเบลล์ต้องกลับภายในหนึ่งสัปดาห์ พี่สาวทั้งสองจึงเล่นละครแกล้งร้องไห้ร่ำไรไม่ให้เบลล์กลับไปปราสาท ด้วยสัญชาตญาณที่ดีของเบลล์ เธอจึงตัดสินใจไม่กลับ



เบลล์เกิดรู้สึกไม่ดีที่ผิดสัญญากับอสูร และใช่กระจกวิเศษมองดูว่าอสูรเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อมองในกระจก เธอได้เห็นว่าอสูรกำลังนอนใกล้จะตายด้วยความอกหัก อยู่ที่สวนกุหลาบตรงที่พ่อเธอเคยแอบเด็ดไว้ เมื่อเห็นภาพที่อนาถตาแล้ว เธอจึงใช่แหวนวิเศษกลับไปหาอสูรที่ปราสาททันที

เมื่อเบลล์ถึงสวนดอกกุหลาบ อสูรก็ได้สิ้นชีวิตแล้ว เธอร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ และพูดเสียงแผ่วเบาหลายๆ รอบ ว่าเธอรักอสูร แต่เมื่อน้ำตาเธอหยดลงบนอสูร อสูรก็ได้ฝืนคืนชีพกลับมา และร่างกายเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงกายเป็นเจ้าชายโฉมงาม(เจ้าชายผู้เดียวกันที่เคยมาเยือนในฝันเบลล์) เจ้าชายผู้นี้เลยเล่าเรื่องให้เบลล์ฟังว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นางฟ้าสาปให้เขากลายเป็นอสูรที่อัปลัษณ์น่าเกลียดน่ากลัว หลังจากที่ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือเธอ ซึ่งหนีฝนมา นางฟ้าบอกเจ้าชายว่า วิธีเดียวที่จะทำให้คำสาปหายคือการหารักแท่ โดยที่ไม่ใช่รูปโฉม

สโนว์ไวท์



กาลครั้งหนึ่งในดินแดนสุดมหัศจรรย์ ยังมีองค์หญิงน้อยแสนงามผู้มีผมดำดุจไม้มะเกลือ ริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบและมีผิวขาวผ่องดังหิมะ เธอคือสโนไวท์ ผู้ที่รู้จักเธอล้วนรักเธอเว้นแต่ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายผู้ริษยาในความงามของเธอสโนไวท์อาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีน้ำตกเจ็ดชั้นและภูเขาอัญมณีเจ็ดลูกที่ภายในมีอัญมณีเลอค่ามากมาย ภูเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สโนไวท์เติบโตมาภายใต้อำนาจของราชินี

ถึงแม่ว่าความปรารถนาที่จะมีรักแสนหวานของเธอจะดูเป็นไปไม่ได้แต่ความรักก็สามารถหาทางของมันได้เสมอแม้ว่าเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่สามารถห้ามให้เจ้าชายหลงรักสโนไวท์ได้



ราชินีเกรงว่าสักวันสโนไวท์จะเติบโตและงดงามกว่าพระนาง ด้วยเหตุนี้พระนางจึงใช้ให้สโนไวท์ทำงานหนักดั่งทาส และเมื่อกระจกวิเศษเผยแก่ราชินีว่าสโนไวท์งดงามกว่าพระนาง ชีวิตของสโนไวท์ก็ตกอยู่ในอันตราย จนกระทั่งเธอได้พบเพื่อนตัวเล็กๆทั้งเจ็ดคนที่ช่วยเหลือเธอไว้

สโนไวท์วิ่งหนีใปในป่ามืด ดูเหมือนว่าต้นไม้เกิดมีชีวิตและพยายามจะฉุดรั้งสโนไวท์เอาไว้ เธอเหนื่อยล่าและหวาดกลัวจนกระทั่งหมดแรงและล้มลงกลางป่า แล้วสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือเสียงเพลงและรอยยิ้ม



ระหว่างที่สโนไวท์กำลังทำกูซเบอร์รี่พายของโปรดของเหล่าคนแคระ แม่ค้าเร่ก็เข้ามาคะยั้นคะยอเธอให้ทำแอปเปิ้ลพายด้วยลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือนาง และเมื่อสโนไวท์อธิษฐานต่อแอปเปิ้ลเธอกัดมันและสลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที!

สโนไวท์ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับเห็นเจ้าชายรูปงามและเหล่าคนแคระรายล้อม เจ้าชายพาเธอขี่ม้าไปที่ปราสาทของเขาและทั้งคู่ก็อย่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล